แตกต่างอย่างยั่งยืน – แชร์โน้ตจาก session ‘Product vs ESG: A future trend to make your product different’

Twitter
LinkedIn
Facebook

พบกับสรุปโน้ตจากอีเว้นท์ live หัวข้อ Product vs ESG – A future trend to make your product different จากเมื่อเดือน ธ.ค. 2566 ที่ผ่านมา งานนี้ เราได้รับโอกาสพูดคุยกับ พี่นวล พนอจันทร์ จารุรังสีพงศ์ – ที่ปรึกษาด้าน Sustainability Development ชั้นนําของเมืองไทย





product-vs-esg-live-cover-image

















ESG คืออะไร? เกี่ยวกับเราอย่างไร และเพราะอะไรเราถึงต้องให้ความสำคัญ

ESG vs Sustainability

ESG ย่อมาจาก Environmental (สิ่งแวดล้อม) Social (สังคม) และ Governance (ธรรมาภิบาล) เป็นแนวคิดที่ทำธุรกิจโดยนึกถึงความยั่งยืนหรือ Sustainability ในระยะยาว

และ “Sustainability” กำลังจะเป็น keyword ของ future generation





ESG-stand-for




Sustainability vs Business

ปกติรูปแบบที่เราเห็นกันคือ CSR ซึ่งจริงๆ แล้ว CSR ไม่ใช่แค่กิจกรรม แต่เป็นความรับผิดชอบต่อบริษัทที่มีต่อสังคม และควรเป็นความรับผิดชอบที่ทำด้วยจิตอันเป็นกุศล

ถ้าคิดจะเริ่มต้นในการทำกิจกรรมด้านนี้ ต้องตรวจสอบองค์กรหรือบริษัทของตัวเองเป็นตั้งแต่แรก โดยดูตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นที่เป็นห่วงโซ่อุปทานของเรา ว่ามีผลกระทบทั้งทางบวกและลบอย่างไรบ้าง

ด้วยเหตุผลนี้ จึงทำให้มีองค์กรหรือบริษัทที่เป็น 3rd party เข้ามาช่วยตรวจสอบ ซึ่งผ่านการ certified แล้ว สามารถตรวจสอบได้

สำหรับพี่นวลแล้ว ธุรกิจที่ดีต้องยั่งยืน  คือ ต้องมีกำไรและคำนึงถึง Inward Impact และ Outward Impact ไปพร้อมกัน ซึ่งหมายถึง การนึกถึงสิ่งที่ธุรกิจทำหรือดำเนินการว่าจะมีผลกระทบย้อนกลับมาหาธุรกิจเองอย่างไร (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Impact Measurement ได้ที่นี่)

และอีกความสามารถหนึ่งที่ธุรกิจยั่งยืนพึงมี คือ สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้

Sustainability is an opportunity for business

ในอนาคต หุ้นของบริษัทที่ทำเรื่อง ESG จะไปได้ดี น่าลงทุน และให้ผลตอบแทนสูง รวมถึงเด็กรุ่นใหม่ๆ กำลังมีความสนใจเลือกลงทุนกับบริษัทที่มีนโยบายด้าน ESG ด้วย

sustainability-is-an-opportunity

ESG จะตอบ Business need หรือ Users need มากกว่ากัน

พี่นวลเล่าว่า การทำ ESG ตอบ Business need แน่ๆ โดยบางธุรกิจ ถ้าไม่ทำ ESG อาจจะถึงขั้นทำธุรกิจต่อไปไม่ได้ เนื่องจากมีกฏเกณฑ์มาบังคับ หรือมี Requirement จาก Stakeholder ภายนอก

เช่น คู่ค้าต่างประเทศกำหนดให้บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูล Carbon footprint หรือต้องมีการจ้างแรงงานอย่างถูกต้อง 

แต่การทำ ESG ก็สามารถตอบ Customer need ได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป ธุรกิจต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์​ Personal Value และสร้างความแตกต่างจากที่อื่นๆ










ESG มีกระบวนการพัฒนา การตั้งเป้าหมาย หรือการเขียน Roadmap/ Vision อย่างไรบ้าง









ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลักด้วยกัน ซึ่งก็คือ PIMSE แปลออกมาได้ดังต่อไปนี้

  • P = Purpose ทำเพื่ออะไร
  • I = impact ทั้งในส่วนของ inward และ outward เป็นอย่างไร สามารถ identify ผลกระทบ และผลประโยชน์ในเชิงธุรกิจได้
  • M = เลือกเฉพาะสิ่งที่จำเป็นจริงๆในการดำเนินการ
  • S = คือ การวางกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้
  • E = เปิดเผยได้ สามารถตรวจสอบได้ 









Q: กำไรกับความยั่งยืนควรไปด้วยกันได้ไหม?

A: สมัยก่อนกำไรกับเรื่องอุดมการณ์ความยั่งยืนอาจจะเป็นคนละเรื่องกัน สมัยนี้สามารถนำสองเรื่องนี้มารวมกันได้ เราเรียกสิ่งนี้ว่า “กลยุทธ์ทางธุรกิจ“ 










การตั้งเป้าหมาย (Goals & Targets) 

ที่สำคัญในการทำเรื่องความยั่งยืนให้สำเร็จ คือจะต้องวัดผลได้ ไม่เป็นแค่นามธรรม

นอกจากบริษัทจะมีเป้าหมาย financial ในรูปแบบตัวเลข เช่น ยอดขาย แล้ว ก็จะต้องมีการตั้งเป้าหมายแบบ non-financial เพิ่มขึ้นมาควบคู่กันไป เพื่อที่จะตอบโจทย์ในเรื่องของความยั่งยืนด้วย

โดยเป้าหมายนี้ก็จะแตกต่างกันไปตามลักษณะ ความเชี่ยวชาญ หรือผลกระทบที่ธุรกิจมีต่อ ESG 

ตัวอย่างเช่น เราอาจจะตั้งเป้าหมายว่า ยอดขายของบริษัทเรา จะต้องมีสัดส่วนมาจากผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมความเป็นอยู่และสุขภาพของผู้บริโภคที่ดีที่ 30% ขึ้นไป

ซึ่งผู้รับผิดชอบเป้าหมายเรื่องความยั่งยืนนี้ควรจะต้องเป็น CEO แล้ว Top Down ลงมา

เป้าหมายที่ดี ควรเป็นไปตามหลักการ “SMART” โดย 

  • S = Specific คือต้องมีความชัดเจน 
  • M = Measurable = วัดเป็นเชิงปริมาณและคุณภาพได้ 
  • A = Achievable ทำได้จริง 
  • R = Relevant เกี่ยวข้องกับเป้าหมาย และการดำเนินการของบริษัท 
  • T = Time-bounded กำหนดระยะเวลาชัดเจน

การตั้งเป้าหมายเพื่อวัดผลกระทบในเรื่องความยั่งยืน บางทีก็วัดยาก โดยเฉพาะผลกระทบเชิงสังคม

ดังนั้น สิ่งสำคัญในการวัดผลในด้านแบบนี้ คือ ไม่ได้ดูแค่ที่ OUTPUT อย่างเดียว แต่ต้องวัดผลต่อไปถึง “OUTCOME” และ “IMPACT” ถ้าหากสามารถแปลงออกมาให้เป็นผลกระทบเชิงตัวเงิน ก็จะยิ่งช่วยให้จับต้องได้มากขึ้น

ตัวอย่างเช่น

  • Output ของกิจกรรมสร้างผลกระทบเชิงสังคมที่ดี คือ จำนวนแรงงานที่ได้รับการอบรมฝีมือช่าง
  • ส่งผลเป็น Outcome ของธุรกิจ คือ จำนวนความผิดพลาดในการก่อสร้างลดลง
  • เกิดเป็น Financial impact คือ กำไรต่อหน่วย ที่มากขึ้น









เรื่องเล่าการใช้ ESG ใน Product/ Project ที่ผ่านมา

พี่นวลได้ยกตัวอย่างของบริษัท ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งบริษัทที่เป็น Physical product และ Software product ในการพัฒนา ESG product โดยตั้งต้นจากความเชี่ยวชาญ และผลกระทบ ของแต่ละธุรกิจที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

ตัวอย่างแรก: บริษัทอสังหาริมทรัพย์ SKANSKA ของสวีเดน

เป้าหมายของบริษัท คือ “we build for a better society” บริษัทตั้งต้นจากการที่ตัวธุรกิจ สร้างผลกระทบจากการก่อสร้างต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมีเยอะมาก

ดังนั้นแล้ว สิ่งหนึ่งที่บริษัททำคือ การมี Application ในการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตลอดกิจกรรมการก่อสร้าง และทำให้อาคารที่เขาสร้างออกมาได้มาตรฐานอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ตัวอย่างที่ 2: บริษัท SC Asset ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย

บริษัทได้ตั้ง purpose ขึ้นมาคือ “for good mornings”

เป้าหมายคือ อยากจะส่งมอบเช้าที่ดีให้กับลูกบ้านทุกคน พัฒนา application “รู้ใจ” ที่จัดการเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับบ้านได้ทั้งหมดใน app เดียว รวมถึงการจัดการพลังงาน 

รวมถึง มองลูกบ้านในลักษณะ character ที่ลึกซึ้งขึ้น และออกแบบบ้านให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าโดยเฉพาะ ส่งผลการสร้างผลกระทบเชิงสังคมที่ดี และทำให้ product ของเราต่างจากที่อื่นด้วย 

ตัวอย่างที่ 3: บริษัท IT/ Technology

ในญี่ปุ่นมีปัญหาสังคมในเรื่องของการขาดแคลนแรงงาน ก็เลยผลิต robot ออกมา เพื่อทดแทนแรงงานในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โรงพยาบาล โรงงาน วัดผลเป็นการช่วยแก้ปัญหาสังคม และสร้างกำไรให้กับธุรกิจได้ด้วย

ดังนั้นจากทั้งหมดนี้ พี่นวลมองว่า จริงๆ แล้ว มีโอกาสสำหรับ Software product ใน ESG และ Climate ที่เยอะมากๆ โดยเฉพาะเรื่องของ การเก็บข้อมูล และทำเป็น Indicator

ตัวอย่างเช่น Software เก็บข้อมูลการปล่อย Carbon Emission ของธุรกิจ, การ track การใช้พลังงาน และการลดการใช้พลังงาน ซึ่งก็มีทั้งบริษัท Technology ใหญ่และเล็ก ที่เริ่มกระโดดเข้ามาในเรื่องนี้ เช่น Microsoft, IBM 










ชาว PM ต้องปรับตัวอย่างไรเพื่อทํา ESG Product ให้สําเร็จ

อุปสรรคสำหรับการทำ ESG และแนวทางในการ break through

  • ต้องมีความรู้รอบมากขึ้น โดยเป็นความรู้ที่ไม่ถูกจำกัดใน Industry ใด Industry หนึ่ง
  • ESG อยู่ในชีวิตของเรา และเป็นเรื่องของการบูรณาการ (กลยุทธ์ทางธุรกิจ)

Trend ในอนาคตของ ESG จะเป็นอย่างไรบ้าง

  • Demand ใน Green job, Sustainability job จะเพิ่มสูงขึ้นมากๆ 
  • ความเสี่ยงระดับโลก (Global risk) ในอีก 10 ปีข้างหน้า ส่วนใหญ่จะหนักไปที่เรื่อง climate เช่น ภัยธรรมชาติ ถ้าธุรกิจไหนที่อาจจะได้รับผลกระทบ ก็จะต้องเตรียมรับมือไว้ แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสสำหรับใครที่จะเข้ามาแก้ปัญหา
  • สามารถศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง ESG trend ได้จากงานวิจัย report ต่างๆ ของบริษัท Consult ชั้นนำ รวมถึง จากเว็ปไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ของไทยด้วย 









เพื่อนๆคนไหนอยากเข้าไปฟังไลฟ์ย้อนหลังแบบเต็มๆ สามารถตามไปได้เลยที่ Product vs ESG – A future trend to make your product different

สุดท้ายนี้ อย่าลืมกดไลค์ กดแบ่งปันให้เพื่อนๆ หรือคอมเมนต์แลกเปลี่ยนกับพวกเราได้นะคะ และอย่าลืมกดติดตาม PM Corner ตามช่องทางต่างๆ: PM Corner Thailand เพื่อไม่พลาด content ใหม่ๆ จากพวกเรานะคะ

Twitter
LinkedIn
Facebook
Subscribe
Notify of
guest
0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments
SUBSCRIBE FOR UPDATE

Join our community and start growing together